Home ข้อคิด อ่านช้าๆไม่ต้องรีบ ทำแล้วรู้สึกดี

อ่านช้าๆไม่ต้องรีบ ทำแล้วรู้สึกดี

7 second read
0

ผมสังเกตอยู่คนเดียวมาตลอดว่า คนส่วนใหญ่มองความช้า ว่าเป็นปัญหาทุกอย่างต้องรวดเร็ว ไม่งั้นไม่ทันกิน ไม่ทันคนอื่น

นั่นทำให้เรามองความช้าเป็นความพ่ายแพ้บางครั้งเรามองคนที่เข้าเส้นชัยทีหลังคนอื่นคือคนน่าสง ส า ร
รวมถึงตัวเราเองที่บางครั้งก็กดดัน ว่าทำไมเราถึงวิ่งไม่ทันคนอื่นเขาสักที

กลายเป็นว่า เราต่าง เ ส พ ติ ด ความเร็ว เน็ตก็ต้องเร็ว ส่งไลน์ไปหาก็ต้องรีบตอบสั่งของก็อยากให้รีบส่ง งานก็ต้องรีบทำ เที่ยวก็ร้องรีบเที่ยว เดี๋ยวที่เที่ยวมีคนตามมาเยอะกินก็ต้องรีบกิน เพิ่งคุยกันก็รีบบอกว่าคิดถึงทุกอย่างดูเร่งรีบ ฉาบฉวย จนบางทีเราก็หัวเสียกับคนที่ตอบข้อความช้าไปไม่กี่นาทีโวยวายกับคนที่ส่งของให้เราช้าไปวันสองวัน รู้สึกเบื่อกับหนังที่ไม่ได้สนุกตั้งแต่เริ่มเรื่องหรือบทความที่เวิ่นเว้ออยู่หลายบรรทัดกว่าจะเข้าเรื่อง สรุปมาเลยได้มั้ย คนยิ่งรีบๆ อยู่

แต่จริงๆ ความช้า ความเนิบ มันมีเสน่ห์ของมันอยู่พอได้ค่อยๆ คิด เราก็จะมีสติ รอบคอบขึ้นมีเวลาที่จะทบทวนว่าที่จริงแล้วควรจะทำอย่างไรควรจะรู้สึกแบบไหน ควรจะตอบกลับไปมั้ยและควรจะทำในสิ่งที่รักไปในทิศทางไหน

เลยไม่แน่ใจว่าที่เราไม่ชอบความช้าเพราะเราคิดว่า ถ้าเราเดินช้าลง นั่นจะทำให้เราไปไม่ถึงจุดหมายรึเปล่าหรือคุณคิดว่า ถ้าเราทำในสิ่งที่เราต้องการอย่างช้าๆ แล้วนั่นจะทำให้ประสิทธิภาพและความหมายของมันหายไปด้วยรึเปล่าแล้วเคยคิดมั้ยว่า พอเราช้ากว่าคนอื่น นั่นหมายความว่าเราเป็นไอขี้แพ้ด้วยรึเปล่า ?

ส่วนตัวผมคิดว่าไม่นะ

เพราะเมื่อไหร่ที่เราเริ่มช้า นั่นหมายความว่าเราเริ่มที่จะระวังยิ่งถ้าเป็น เส้นทางใหม่ๆ ที่ยังไม่คุ้นเคยการได้ค่อยๆ ก้าวเข้าไปในเส้นทางนั้น ทำให้เรามั่นใจในแต่ละระยะก้าวมากกว่าการวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป ซึ่งอาจจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่นแต่สุดท้ายก็สะดุดล้ม จนคนที่เดินตามมาแอบหัวเราะเมื่อเดินผ่านไป

ไหนๆ ก็ผ่านปีนี้ไปเกือบ 5 เดือนแล้วเลยอยากมาชวนคุณผู้ อ่ า น มาหากันว่า อะไรบ้างที่เราไม่ต้องรีบทำมันมากไปก็ได้ค่อยๆ เริ่มไปกับมัน ไม่พร้อมก็พัก ยังมีเวลาอีกสำหรับเรื่องนี้บางอย่างมันไม่ต้องรีบเกินไปก็ได้

1. อย่าเพิ่งรีบไว้ใจใคร

การไว้ใจใครเนี่ยมันใช้เวลา ยิ่งกับใครสักคนที่จะเป็นคนสำคัญในชีวิตแล้วยิ่งต้องดูกันนานๆ เราจะเชื่อใจ ไว้ใจเขาตั้งแต่วันแรกที่พบกันมันเป็นไปได้ยาก

เคยได้ยินมั้ยที่เค้าบอกว่า ความไว้ใจ มันก็เหมือนการสร้างสะพาน เชื่อมทั้งสองฝั่งวันที่เค้าเริ่มสร้าง เค้าก็ต้องเริ่มที่จะทดสอบความแข็งแรงของมันไม่ใช่ว่าสร้างเสร็จ แล้วเปิดใช้งานเลย โดยที่ไม่ได้ดูเลยว่า มันแข็งแรงพอที่จะรับมือรับน้ำหนักของผู้คนที่จะเข้ามาเหยียบเพื่อข้ามไปอีกฝั่งได้มั้ยแน่นอนเราไม่ทำแบบนั้น

แล้วทำไมเราถึงจะทำแบบนั้นกับกับใครสักคนจะเปิดสะพานให้ใครสักคนข้ามไป เค้ายังต้องทดสอบ ว่าคุณสมบัติพร้อมมั้ยมีประกันรึเปล่า พังพินาศมาใครจะรับผิดชอบ

เช่นเดียวกัน การสร้างความไว้ใจ เชื่อใช่ มันก็เหมือนการสร้างสะพานนั่นแหละมันต้องสร้างด้วยความอดทน สร้างด้วยเวลา ด้วยการทดสอบ เพื่อความไว้เนื้อเชื่อใจ

จนกระทั่งเราเชื่อมั่นว่า คนนี้แหละที่เราจะไว้ใจเค้าได้แต่มันคงไม่ใช่วันสองวัน แบบที่ ตอนเจอเมื่อวานเราไม่ไว้ใจเค้าเลยแต่พอเจอวันนี้ เออ เชื่อแล้วว่า เค้าน่าไว้ใจจริงๆ

ความไว้ใจ พอเกิดขึ้นแล้ว มันจะทำให้เราทั้งสองคนพอใจ มีความสุขกับช่วงเวลานั้นๆทำให้เราสะดวกใจที่จะเปิดเผยความเป็นไปในชีวิตให้เค้า ในขณะที่ฝั่งเค้าเองก็เข้าใจเห็นคุณค่าในตัวเรา ยืนอยู่เคียงข้างเรา ไม่ว่าระยะทางที่แท้จริงเราจะยื่นห่างไกลกันมากสักแค่ไหน

เจ็บกันไปเท่าไหร่แล้วกับการไว้ใจผิดคนเจ็บกันไปเท่าไหร่แล้วกับการรีบรับปาก รับใครสักคนเข้ามาในชีวิต

ไม่ต้องรีบรับใครอีกคนเข้ามาไม่ต้องรีบไว้ใจ ว่าเค้าคือคนที่เอาใจไปฝากไว้ที่เค้าได้

ทุกอย่างใช้เวลาแม้กระทั่งการทดสอบความจริงใจจากใครสักคน

2. อย่าเพิ่งรีบตัดสินใครจากสิ่งที่เพิ่งเห็น

ทุกคนที่เราเจอกันตอนนี้ ตรงนี้ ภาพที่เห็นตรงหน้า มันเป็นแค่ Snap Shot ช่วงนั้นในชีวิตเขามันเลยเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ ถ้าเราจะตัดสินเค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น ณ เวลานี้

เอาง่ายๆ เวลาเราเจอใครสักคน แล้วพอมีอีกคนมาถามเราว่า คนนั้นเป็นไงบ้างเป็นเรื่องยากที่จะตอบ ถ้าเราจะเอาสิบนาที หนึ่ง ชั่ ว โมง หรือหนึ่งวันที่เพิ่งได้รู้จักกันมาบอกว่าเค้าคนนั้นเป็นคนยังไง

บางทีอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้นหน่อยเพื่อที่จะตัดสินได้ว่า จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนยังไงมากกว่าสิ่งที่เห็น

ซึ่งก็น่าจะมีคนถามอีกแหละว่า แล้วมันนานแค่ไหนละถึงจะตัดสินได้ถ้ามีคนมาถามตอนนี้ละ จะตอบไปยังไง

จริงๆ ถ้าเรายังไม่รู้ ก็ตอบไปว่าไม่รู้ก็ได้มันจำเป็นจริงๆ หรอที่จะต้องบอกว่าใครเป็นยังไง ดีหรือไม่ดี ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้จักกันจริงๆ ?

ถ้ามีใครสักคนไปถามคนที่เพิ่งมาคุยกับคุณได้แค่ไม่กี่นาที แล้วถามว่า คุณเป็นคนยังไงคุณอยากให้เค้าตอบไปแบบไหนละ แล้วคิดว่าสิ่งที่เค้าตอบกลับไป ใช่ตัวเราจริงๆ รึเปล่าหรือแค่เป็นเราแค่เสี้ยวเดียวในสิบนาทีที่ได้ทำความรู้จัก ณ เวลานั้นแล้วมันแฟร์กับเรามั้ย ถ้าเค้ารีบตัดสินเราตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น ?

3. อย่าเพิ่งรีบเข้าใจไปเองว่า เรารู้จักใครคนนั้นแล้ว

เป็นอีกปีที่ผ่านไป เป็นอีกวันที่กำลังจะผ่านไปแน่นอนว่าเราต่างเปลี่ยนแปลงไปทุกนาที ซึ่งเราอาจจะตกลงปลงใจว่าใครคือเพื่อนที่เรารักที่สุด ใครคือคนที่เราคิดว่าเข้าใจเค้ามากที่สุดแล้วลอง อ่ า น ผลสำรวจนี้ดู

ผลสำรวจจากการศึกษาเรื่อง Social and Personal Relationship บอกเอาไว้ว่ามันใช้เวลากว่า 50 ชั่ ว โมง ในการที่เราจะบอกได้ว่า เค้าคนนั้นเป็นเพื่อนกับเรามั้ย

90 ชั่ ว โมง ในการที่จะบอกว่า เค้าคนนั้นเป็นเพื่อนกับเราจริงๆ รึเปล่า

200 ชั่ ว โมง ในการที่จะบอกว่า เค้าคนนั้นคือเพื่อนแท้กับเรารึเปล่า

พอรู้แบบนี้แล้วก็น่ากลับมาคิดนะว่าจริงๆ แล้วเพื่อนที่มีอยู่หรือใครสักคนที่กำลังคุยอยู่มีช่วงเวลาที่เรียกว่า Quality Time กันถึง 200 ชั่ ว โมงมั้ย

ทวนให้อีกรอบให้ละกัน เราจะใช้เวลา

50 ชั่ ว โมง ในการที่เราจะบอกได้ว่า เค้าคนนั้นเป็นเพื่อนกับเรามั้ย

90 ชั่ ว โมง ในการที่จะบอกว่า เค้าคนนั้นเป็นเพื่อนกับเราจริงๆ รึเปล่า

200 ชั่ ว โมง ในการที่จะบอกว่า เค้าคนนั้นคือเพื่อนแท้กับเรารึเปล่า

น่าสนใจนะ ที่การเข้าใจ หรือเป็นเพื่อนกับใครสักคน การสร้างความสัมพันธ์เหล่านั้นมันใช้เวลากันจริงๆ นั่นแหละเราเองก็คงต้องค่อยๆ ใช้เวลาในการทำความรู้จัก ในการให้ความหมาย ในการตัดสินใคร ในการไว้ใจใคร

การที่ค่อยๆ ทำสิ่งเหล่านี้น่าจะทำให้ทุกๆ วันที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเราได้มีเวลาในการพิจารณาความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ที่กำลังจะก่อตัว หรือที่กำลังจะลาจากไป

อะไรที่ควรรีบ ก็รีบเถอะแต่อะไรที่มันรอได้ อะไรที่ถ้าใช้เวลาไปกับมันแล้วคุ้มค่ากับการทำก็ไม่ต้องไปรีบก็ได้นะ

ที่มา : today.line.me

Load More Related Articles
Load More By chayyasit888budwong
Load More In ข้อคิด

Check Also

พฤติกรรมแบบนี้ อย่าไปทำในที่ทำงาน

สังคมในที่ทำงานเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่มาใช้ชีวิตอยู่ร … …